วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2560

แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์






แบบเสนอโครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
 รหัสวิชา ง 33202 ชื่อวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6
 ปีการศึกษา 2559





 ชื่อโครงงาน  วัยรุ่นกับค่านิยม การทำศัลยกรรม



ผู้จัดทำ


นางสาว กรกช  มณีผ่อง  เลขที่   11
นางสาว   กัญญารัตน์    สาคร    เลขที่   30
นางสาว  ศรัญญา   พันธุสา   เลขที่   39





 ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน  ครูเขื่อนทอง  มูลวรรณ์

ระยะเวลาดำเนินงาน  ภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2559

วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2559

                          🔺กิจกรรมที่ 3  ขั้นตอนการทำโครงงาน คอมพิวเตอร์


ขั้นตอนการทำโครงงานคอมพิวเตอร์
          1. คัดเลือกหัวข้อโครงงานที่สนใจ
          2. ศึกษาค้นคว้าจากเอกสารและแหล่งข้อมูล
          3. จัดทำเค้าโครงของโครงงาน
          4. การลงมือทำโครงงาน
          5. การเขียนรายงาน
          6. การนำเสนอและแสดงโครงงาน
1. คัดเลือกหัวข้อโครงงานที่สนใจ
          โดยทั่วไปเรื่องที่จะนำมาพัฒนาเป็นโครงงานคอมพิวเตอร์ มักจะได้มาจากปัญหา คำถาม หรือความสนใจในเรื่องต่างๆ จากการสังเกตสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบคอมพิวเตอร์ หรือสิ่งต่างๆ รอบตัว ปัญหาที่จะนำมาพัฒนาโครงงานคอมพิวเตอร์ได้จากแหล่งต่างๆ กัน ดังนี้
          1. การอ่านค้นคว้าจากหนังสือ เอกสาร หนังสือพิมพ์ หรือวารสารต่างๆ
          2. การไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ
          3. การฟังบรรยายทางวิชาการ รายการวิทยุและโทรทัศน์ รวมทั้งการสนทนาอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างเพื่อนนักเรียนหรือกับบุคคลอื่นๆ
          4. กิจกรรมการเรียนการสอนในโรงเรียน
          5. งานอดิเรกของนักเรียน
          6. การเข้าชมงานนิทรรศการหรืองานประกวดโครงงานคอมพิวเตอร์
ในการตัดสินใจเลือกหัวข้อที่จะนำมาพัฒนาโครงงานคอมพิวเตอร์ ควรพิจารณาองค์ประกอบสำคัญ ดังนี้
          1. ต้องมีความรู้และทักษะพื้นฐานอย่างเพียงพอในหัวข้อเรื่องที่จะศึกษา
          2. สามารถจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ และวัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องได้
          3. มีแหล่งความรู้เพียงพอที่จะค้นคว้าหรือขอคำปรึกษา
          4. มีเวลาเพียงพอ
          5. มีงบประมาณเพียงพอ
          6. มีความปลอดภัย 

2. ศึกษาค้นคว้าจากเอกสารและแหล่งข้อมูล
          การศึกษาค้นคว้าจากเอกสารและแหล่งข้อมูล ซึ่งรวมถึงการขอคำปรึกษาจากผู้ทรงคุณวุฒิ จะช่วยให้นักเรียนได้แนวคิดที่ใช้ในการกำหนดขอบเขตของเรื่องที่จะศึกษาได้เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น รวมทั้งได้ความรู้เพิ่มเติมในเรื่องที่จะศึกษาจนสามารถใช้ออกแบบและวางแผนดำเนินการทำโครงงานนั้นได้อย่างเหมาะสม ในการศึกษาจะต้องได้คำตอบว่า
          1. จะทำ อะไร
          2. ทำไมต้องทำ
          3. ต้องการให้เกิดอะไร
          4. ทำอย่างไร
          5. ใช้ทรัพยากรอะไร
          6. ทำกับใคร
          7. เสนอผลอย่างไร 
3. องค์ประกอบของเค้าโครงของโครงงาน
รายงานรายละเอียดที่ต้องระบุ
ชื่อโครงงาน ทำอะไร กับใคร เพื่ออะไร
ประเภทโครงงานวิเคราะห์จากลักษณะของประโยชน์หรือผลงานที่ได้
ชื่อผู้จัดทำโครงงานผู้รับผิดชอบโครงงาน อาจเป็นรายบุคคล หรือรายกลุ่มก็ได้
ครูที่ปรึกษาโครงงานครู-อาจารย์ผู้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา และควบคุมการทำโครงงานของนักเรียน
ครูที่ปรึกษาร่วมครู-อาจารย์ผู้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาร่วม ให้คำแนะนำในการทำโครงงานของนัีกเรียน
ระยะเวลาดำเนินงานระยะเวลาการดำเนินงานโครงงาน ตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุด กำหนดเป็นวัน หรือ เดือนก็ได้
แนวคิด ที่มา และความสำคัญสภาพปัจจุบันที่เป็นความต้องการและความคาดหวังที่จะเกิดผล
วัตถุประสงค์สิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดโครงงานทั้งในเชิงกระบวนการ และผลผลิต
หลักการและทฤษฎี  หลักการและทฤษฎีที่นำมาใช้ในการพัฒนาโครงงาน
วิธีดำเนินงาน กิจกรรมหรือขั้นตอนการดำเนินงาน เครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ งบประมาณ และผู้ัรับผิดชอบ
ขั้นตอนการปฏิบัติ  วัน เวลา และกิจกรรมดำเนินการต่างๆ ตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุด
ผลที่คาดว่าจะได้รับ สภาพของผลที่ต้องการให้เกิด ทั้งที่เป็นผลผลิต กระบวนการ และผลกระทบ
เอกสารอ้างอิงสื่อเอกสาร ข้อมูลที่ได้จากแหล่งต่างๆ ที่นำมาใช้ในการดำเนินงาน

 4. การลงมือทำโครงงาน
          เมื่อเค้าโครงของโครงงานได้รับความเห็นชอบจากอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว ก็เสมือนว่าการจัดทำโครงงานได้ผ่านพ้นไปแล้วมากกว่าครึ่ง ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการลงมือพัฒนาตามขั้นตอนที่วางแผนไว้ ดังนี้
     4.1 การเตรียมการ
          การเตรียมการ ต้องเตรียมเครื่องคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ และวัสดุอื่นๆ ที่จะใช้ในการพัฒนาให้พร้อมด้วย และควรเตรียมสมุดบันทึกหรือบันทึกเป็นแฟ้มข้อความไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ สำหรับบันทึกการทำกิจกรรมต่างๆ ระหว่างทำโครงงาน ได้แก่ ได้ปฏิบัติอย่างไร ได้ผลอย่างไร มีปัญหาและแก้ไขได้หรือไม่อย่างไร รวมทั้งข้อสังเกตต่างๆ ที่พบ
     4.2 การลงมือพัฒนา
          1. ปฏิบัติตามแผนงานที่วางไว้ในเค้าโครง แต่อาจเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมได้ถ้าพบว่าจะช่วยทำให้ผลงานดีขึ้น
          2. จัดระบบการทำงานโดยทำส่วนที่เป็นหลักสำคัญๆ ให้แล้วเสร็จก่อน จึงค่่อยทำ ส่วนที่เป็นส่วนประกอบหรือส่วนเสริมเพื่อให้โครงงานมีความสมบูรณ์มากขึ้น และถ้ามีการแบ่งงานกันทำ ให้ตกลงรายละเอียดในการต่อเชื่อมชิ้นงานที่ชัดเจนด้วย
          3. พัฒนาระบบงานด้วยความละเอียดรอบคอบ และบันทึกข้อมูลไว้อย่างเป็นระบบและครบถ้วน
     4.3 การทดสอบผลงานและแก้ไข
          การตรวจสอบความถูกต้องของผลงาน เป็นความจำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าผลงานที่พัฒนาขึ้นทำงานได้ถูกต้องตรงกับความต้องการ ที่ระบุไว้ในเป้าหมายและทำด้วยประสิทธิภาพสูงด้วย
     4.4 การอภิปรายและข้อเสนอแนะ
          เมื่อพัฒนาผลงานเรียบร้อยแล้ว ให้จัดทำสรุปด้วยข้อความที่สั้นกะทัดรัดอย่างครอบคลุม เพื่อช่วยให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงสิ่งที่ค้นพบจากการทำโครงงาน และทำการอภิปรายผลด้วย เพื่อพิจารณาข้อมูลและผลที่ได้ พร้อมกับนำ ไปหาความสัมพันธ์กับหลักการ ทฤษฎี หรือผลงานที่ผู้อื่นได้ศึกษาไว้แล้ว ทั้งนี้ยังรวมถึงการนำหลักการ ทฤษฎี หรือผลงานของผู้อื่นมาใช้ประกอบการอภิปรายผลที่ได้ด้วย
     4.5 แนวทางการพัฒนาโครงงานในอนาคตและข้อเสนอแนะ
          เมื่อทำโครงงานเสร็จสิ้นลงแล้ว นักเรียนอาจพบข้อสังเกต ประเด็นที่สำคัญ หรือปัญหา ซึ่งสามารถเขียนเป็นข้อเสนอแนะและสิ่งที่ควรจะศึกษาและหรือใช้ประโยชน์ต่อไปได้ 
5. การเขียนรายงาน
          การเขียนรายงานเป็นวิธีการสื่อความหมายเพื่อให้ผู้อื่นได้เข้าใจแนวคิด วิธีดำเนินการศึกษาค้นคว้า ข้อมูลที่ได้ ตลอดจนข้อสรุปและข้อเสนอแนะต่างๆ เกี่ยวกับโครงงานนั้น ในการเขียนรายงานนักเรียนควรใช้ภาษาที่อ่านง่าย ชัดเจน กระชับ และตรงไปตรงมา ให้ครอบคลุมหัวข้อต่างๆเหล่านี้
     5.1 ส่วนนำ
          ส่วนนำ เป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงงานนั้นซึ่งประกอบด้วย
          1. ชื่อโครงงาน
          2. ชื่อผู้ทำโครงงาน
          3. ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษา
          4. คำขอบคุณ เป็นคำกล่าวขอบคุณบุคคลหรือหน่วยงาน ที่มีส่วนช่วยทำให้โครงงานสำเร็จ
          5. บทคัดย่อ อธิบายถึงที่มา ความสำคัญ วัตถุประสงค์ วิธีดำเนินการ และผลที่ได้โดยย่อ
     5.2 บทนำ
          บทนำเป็นส่วนรายละเอียดของเนื้อหาของโครงงานซึ่งประกอบด้วย
          1. ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
          2. เป้าหมายของการศึกษาค้นคว้า
          3. ขอบเขตของโครงงาน
     5.3 หลักการและทฤษฎี
          หลักการและทฤษฎี เป็นส่วนสรุปข้อมูลที่ได้จากการศึกษาหาข้อมูลหรือหลักการ ทฤษฎี หรือวิธีการที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาโครงงาน ซึ่งรวมถึงการระบุผลงานของผู้อื่นที่นักเรียนนำมาเปรียบเทียบหรือพัฒนาเพิ่มเติมด้วย 
     5.4 วิธีดำเนินการ
          วิธีดำเนินการ อธิบายขั้นตอนการดำเนินงานโดยละเอียด พร้อมทั้งระบุปัญหาหรืออุปสรรคที่พบพร้อมทั้งวิธีการที่ใช้แก้ไข พร้อมทั้งระบุวัสดุอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการทำงาน 
     5.5 ผลการศึกษา
          ผลการศึกษา นำเสนอข้อมูลหรือระบบที่พัฒนาได้ โดยอาจแสดงเป็นตาราง หรือ กราฟ หรือข้อความ ทั้งนี้ให้คำนึงถึงความเข้าใจของผู้อ่านเป็นหลัก 
     5.6 สรุปผลและข้อเสนอแนะ
          สรุปผลและข้อเสนอแนะ อธิบายผลสรุปที่ได้จากการทำ งาน ถ้ามีการตั้งสมมติฐานควรระบุด้วยว่าข้อมูลที่ได้สนับสนุนหรือคัดค้านสมมติฐานที่ตั้งไว้หรือยังสรุปไม่ได้ นอกจากนั้นยังควรกล่าวถึงการนำ ผลการทดลองหรือพัฒนาไปใช้ประโยชน์ อุปสรรคของการทำโครงงาน หรือข้อสังเกตที่สำคัญ หรือข้อผิดพลาดบางประการที่เกิดขึ้นจากการทำ โครงงานนี้ รวมทั้งข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงแก้ไขหากจะมีผู้ศึกษาค้นคว้าในเรื่องทำนองนี้ต่อไปในอนาคตด้วย 
     5.7 ประโยชน์
          ประโยชน์ที่ได้รับจากโครงงาน ระบุประโยชน์ที่นักเรียนได้รับจากการพัฒนาโครงงานนั้น และประโยชน์ที่ผู้ใช้จะได้รับจากการนำผลงานของโครงงานไปใช้ด้วย 
     5.8 บรรณานุกรม
          บรรณานุกรม รวบรวมรายชื่อหนังสือ วารสาร เอกสาร หรือเว็บไซด์ต่างๆ ที่ผู้ทำ โครงงานใช้ค้นคว้า หรืออ่านเพื่อศึกษาข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ ที่นำมาใช้ประโยชน์ในการทำ โครงงานนี้การเขียนเอกสารบรรณานุกรมต้องให้ถูกต้องตามหลักการเขียนด้วย 
     5.9 การจัดทำคู่มือการใช้งาน
          หาโครงงานที่นักเรียนจัดทำ เป็นการพัฒนาระบบใหม่ขึ้นมา ให้นักเรียนจัดทำคู่มืออธิบายวิธีการใช้ผลงานนั้นโดยละเอียด ซึ่งประกอบด้วย
          1. ชื่อผลงาน
          2. ความต้องการของระบบคอมพิวเตอร์ ระบุรายละเอียดของคอมพิวเตอร์ที่ต้องมีเพื่อจะใช้ผลงานนั้นได้
          3. ความต้องการของซอฟต์แวร์ ระบุรายชื่อซอฟต์แวร์ที่ต้องมีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อจะให้ผลงานนั้นทำงานได้อย่างสมบูรณ์
          4. คุณลักษณะของผลงาน อธิบายว่าผลงานนั้นทำ หน้าที่อะไรบ้าง รับอะไรเป็นข้อมูลขาเข้าและส่วนอะไรออกมาเป็นข้อมูลขาออก
          5. วิธีการใช้งานของแต่ละฟังก์ชัน อธิบายว่าจะต้องกดคำสั่งใด หรือกดปุ่มใด เพื่อให้ผลงานทำงานในฟังก์ชันหนึ่งๆ  
6. การนำเสนอและแสดงโครงงาน
          การนำเสนอและการแสดงผลงานเป็นขั้นตอนที่สำคัญอีกขั้นตอนหนึ่งของการทำโครงงาน เพื่อแสดงออกถึงผลิตผลความคิด ความพยายามในการทำงานที่ผู้ทำโครงงานได้ทุ่มเท และเป็นวิธีทำให้ผู้อื่นได้รับรู้และเข้าใจถึงผลงานนั้น การเสนอผลงานอาจทำได้ในหลายรูปแบบต่างๆ กัน เช่น การแสดงผลงานโดยไม่มีการอธิบายประกอบการรายงานด้วยคำพูดในที่ประชุม การจัดนิทรรศการโดยโปสเตอร์และอธิบายด้วยคำพูด เป็นต้น โดยผลงานที่นำมาเสนอหรือจัดแสดงควรประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้
          1. ชื่อโครงงาน
          2. ชื่อผู้จัดทำโครงงาน
          3. ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษา
          4. คำอธิบายถึงที่มาและความสำคัญของโครงงาน
          5. วิธีการดำเนินการที่สำคัญ
          6. การสาธิตผลงาน
          7. ผลการสังเกตและข้อสรุปสำคัญที่ได้จากการทำโครงงาน









ที่มา
https://sites.google.com/site/wasanacom551/to-dos
http://www.acr.ac.th/acr/ACR_E-Learning/CAREER_COMPUTER/COMPUTER/M4/ComputerProject/content2.html
 

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2559

ใบงานที่5 บทความหรือสารคดีที่น่าสนใจ


ผู้หญิงกับการแต่งหน้า










      
   การแต่งหน้านับเป็นปัจจัยสำคัญในชีวิตของผู้หญิงจำนวนมาก หากลองเอ่ยถามสุภาพสตรีใกล้ๆ ตัว แน่นอนว่าหนึ่งในกิจวัตรหลักอย่างหนึ่งของสุภาพสตรีหลายๆ คนก่อนออกจากบ้าน คือ การแต่งหน้า อาจจะเพื่อความสวยงาม ปกปิดสิ่งที่ไม่อยากเปิดเผย เสริมความมั่นใจ และอีกเหตุผลนานับประการ แต่ทั้งหมดทั้งปวงนั้นก็ล้วนแต่ทำให้การแต่งหน้ากลายมาเป็นรายการอันดับต้นๆ ที่คุณผู้หญิงต้องทำ
    
       เครื่องสำอางค์อาร์ทิสทรีโดยแอมเวย์ ร่วมกับสวนดุสิตโพล ทำการสำรวจเรื่อง “พฤติกรรมการแต่งหน้าของญิงไทย” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการศึกษาพฤติกรรมการแต่งหน้าตลอดจนพฤติกรรมการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของสุภาพสตรีที่มีอายุระหว่าง 20-35 ปี อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จำนวนทั้งสิ้น 1,023 คน โดยดำเนินการสำรวจระหว่างวันที่ 28 เมษายน-14 พฤษภาคม 2553 พบว่า ผู้หญิงกลุ่มตัวอย่างถึง 95% แต่งหน้า โดยกลุ่มนี้มีการแต่งหน้าแบบใช้รองพื้น 71% และแต่งหน้าแบบไม่ได้ใช้รองพื้นอีก 24% รวมถึงยังมีผู้หญิงที่ไม่ได้แต่งหน้าอีก 5%
    
       นอกจากนี้ พบว่า กลุ่มผู้หญิงตัวอย่าง 34% แต่งหน้าทุกวัน และ 37% แต่งหน้าเฉพาะวันทำงาน โดยกลุ่มผู้หญิงส่วนใหญ่เชื่อว่า การแต่งหน้ามีประโยชน์และมีความสำคัญในการช่วยให้สวยงามและเสริมบุคลิกภาพ 28% รองลงมาช่วยแก้ไขข้อบกพร่องและเสริมจุดเด่นบนใบหน้า 27% ถัดมาคือ ช่วยลดวัยทำให้ดูอ่อนเยาว์ลงถึง 16%

        และยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าการแต่งหน้ามีความสำคัญต่อชีวิตและจิตใจของผู้หญิงมาก คือ ผลการสำรวจที่ระบุว่ากลุ่มตัวอย่างถึง 67% รู้สึกไม่มั่นใจเวลาไม่แต่งหน้าออกจากบ้าน โดยในจำนวนนี้ 40% รู้สึกขาดความมั่นใจเล็กน้อย12% รู้สึกไม่มั่นใจเลย และไม่สามารถออกจากบ้านโดยไม่แต่งหน้าได้ 8% ออกจากบ้านได้ แต่จะพยายามหลีกเลี่ยงสถานที่ที่อาจจะพบคนรู้จัก และ 7% รู้สึกเหมือนคนป่วยเวลาไม่ได้แต่งหน้า บางคนต้องใช้อุปกรณ์ช่วย เช่น เว่นตาดำ เพื่ออำพรางริ้วรอย เป็นต้น
    
       จากผลการสำรวจข้างต้นทำให้เครื่องสำอางอาร์ทิสทรีเข้าใจความต้องการของผู้หญิงได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นโดยเฉพาะเหตุผลที่ยังมีผู้หญิงหลายๆ คนยังไม่กล้าใช้รองพื้น เพราะเกรงว่าจะดูไม่เป็นธรรมชาติ หรือรู้สึกเหนอะหนะ ยุ่งยาก ผลิตภัณฑ์ใหม่กลุ่มรองพื้น “อาร์ทิสทรี เฟซ (ARTISTRY FACE)” จะช่วยแก้ปัญหาในการใช้รองพื้นแต่งหน้ารวมถึงตอบโจทย์ความต้องการของผู้หญิงได้อย่างครบถ้วน

        โดยอาร์ทิสทรีได้เปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์รองพื้น“อาร์ทิสทรี เฟซ (ARTISTRY FACE)” รองพื้นที่ “รู้จัก” ผิวของผู้หญิงอย่างแท้จริง ด้วยหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นรองพื้นเหลว แป้งแข็งผสมรองพื้น แป้งฝุ่น แป้งฝุ่นอัดแข็ง หรือคอนซีลเลอร์ อาร์ทิสทรีใช้เทคโนโลยีทันสมัย เพื่อผลิตรองพื้นให้ผิวทุกโทนสีเรียบเนียนสวยสมบูรณ์แบบ ประกอบด้วยคุณสมบัติสองประสิทธิภาพ คือ เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการบำรุงผิวก่อนจะเริ่มต้นขั้นตอนแรกของการแต่งแต้มสีสันบนใบหน้า ประกอบด้วย 4 เทคโนโลยีหลัก
    
       ได้แก่ อาร์ทิสทรี ไอดีล เฉด เทคโนโลยี(Artistry Ideal Shade Technology) ทำให้อณูเนื้อแป้งปรับเฉดสีเข้ากับสีผิวธรรมชาติของแต่ละคนได้อย่างลงตัว ทำให้การเลือกเฉดสีง่ายดายยิ่งขึ้น พร้อมด้วยอาร์ทิสทรี ไอดีล พาวเดอร์ เทคโนโลยี (Artistry Ideal Powder Technology) ช่วยให้สามารถรองพื้นได้เรียบเนียนสวย ปกปิดริ้วรอยและจุดบกพร่องต่างๆ ได้ดีอาร์ทิสทรี ออร่า ออฟ โพร เท็คชั่น (Artistry Aura of Protection) และโปรเทกทีฟ คอมเพลกชั่น แบริเออร์ (Protective Complexion Barrier) ที่ช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะ และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ สารป้องกันแสงแดดที่เป็นมิตรกับผิว ช่วยป้องกันแสงแดดด้วยค่า SPF ที่สูงขึ้น และช่วยป้องกันรังสียูวีเอ/ยูวีบี ที่จะช่วยให้การแต่งหน้าโดยใช้รองพื้นของผู้หญิงง่ายขึ้นและยังช่วยให้ผู้หญิงไทยสวยขึ้น
    
       การแต่งหน้านับว่าเป็นความสุขของผู้หญิงหลายๆ คน ที่จะได้มองเห็นความงดงามของตนเอง และยังช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้หญิงที่จะได้ทำตามความต้องการของตนได้อย่างเต็มที่ หากว่าการแต่งหน้าจะเป็นปัจจัยที่ 5 ที่จะอยู่เคียงข้างความสวยงามและความสำเร็จของผู้หญิงแล้ว อาร์ทิสทรีก็ขอสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ดีๆ อย่างไม่หยุดยั้งในการสนับสนุนความสวยงามและความมั่นใจของผู้หญิงไทยต่อไป..


       

รู้จักเครื่องสำอาง ก่อนแต่งสวย  (มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค)

        เดี๋ยวนี้เครื่องสำอางเป็นได้หลายอย่าง เป็นทั้งของตบแต่งเพื่อความสวยความงาม เป็นเครื่องมือสร้างความมั่นใจ บางอย่างก็ยังสร้างบุคลิกใหม่ๆ ให้อย่างเช่นการเปลี่ยนสีผม แต่บางครั้งเครื่องสำอางก็อาจทำพิษกับเราได้ทั้งจากความไม่ระมัดระวังในการใช้ หรือจากสารอันตรายที่อยู่ในเครื่องสำอางต่างๆ การมาทำความรู้จักกับเครื่องสำอางให้มากขึ้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน สำหรับสาวใหญ่สาวน้อยที่ชอบแต่งแต้มสีสันให้กับตัวเอง


 เครื่องสำอางไม่ใช่ยา ยาไม่ใช่เครื่องสำอาง

        เครื่องสำอางใช้ทาถูบนร่างกายเพื่อทำความสะอาด แต่งแต้มให้สวยงาม เพิ่มความดึงดูด และเปลี่ยนแปลงสภาพภายนอก เช่น ครีมทาผิว โลชั่น น้ำหอม ลิปสติค ยาทาเล็บ ผลิตภัณฑ์รอบผิวหน้าและดวงตา น้ำยาดัดผม น้ำยาโกรกสีผม รวมทั้งยาสีฟัน

        ยา ใช้เพื่อแก้ไขรักษา และป้องกันโรคที่เกิดกับร่างกาย ส่วนเครื่องสำอางไม่สามารถเปลี่ยนแปลง หรือมีผลต่อโครงสร้างและหน้าที่ของร่างกาย

 มีอะไรอยู่ในเครื่องสำอาง?

        น้ำหอมและสารกันเสียนับได้ว่าเป็นองค์ประกอบหลักสำคัญในเครื่องสำอาง

         น้ำหอม เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการแพ้ของผิวหนัง น้ำหอมประกอบด้วยสารเคมีและสารธรรมชาติต่างๆ รวมกันมากมาย เครื่องสำอางที่ติดฉลากว่า "ปราศจากน้ำหอม" บางชนิดปราศจากการใส่น้ำหอมจริงๆ แต่บางผลิตภัณฑ์ยังมีการปรุงแต่งด้วยน้ำหอมเล็กน้อยเพื่อกลบกลิ่นไขและสารประกอบอื่นๆ

        สารกันเสียในเครื่องสำอาง นับเป็นอันดับสองรองจากน้ำหอมที่ก่อให้เกิดปัญหาทำให้ผิวหนังแพ้ได้ สารกันเสียทำหน้าที่กันเชื้อแบคทีเรียและราไม่ให้เจริญเติบโตในผลิตภัณฑ์ และยังป้องกันไม่ให้ผลิตภัณฑ์เสียง่าย เมื่อได้รับแสงและความร้อน

        สีในเครื่องสำอาง ต้องเป็นสีที่ปลอดภัยตามข้อกำหนดของ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา คือ สีที่ใช้สำหรับ อาหาร ยา และเครื่องสำอาง (FD&C) หรือสีที่ใช้สำหรับยาและเครื่องสำอาง (D&C) หรือสีใช้ภายนอกสำหรับยาและเครื่องสำอางเท่านั้น

 ความปลอดภัยของเครื่องสำอางขึ้นอยู่กับอะไร?

        เครื่องสำอางส่วนใหญ่จะมีความปลอดภัย ยกเว้นเครื่องสำอางปลอม หรือชนิดที่ผิดกฎหมาย ความไม่ปลอดภัยบางครั้งเกิดจากการใช้งานที่ไม่ถูกต้อง เช่น

        การขยี้ตาที่มีมาสคาร่า ทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้ถ้าไม่รักษา เพื่อความปลอดภัยไม่ควรเขียนคิ้ว ทาขอบตา ระหว่างที่เดินทางในรถยนต์ รถไฟ หรือเครื่องบิน

        ไม่ควรใช้เครื่องสำอางร่วมกับผู้อื่น เพราะเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์จากเราเองไปสู่ผู้อื่น หรือจากผู้อื่นมาสู่เราได้ รวมถึงการไม่ใช้หวีร่วมกัน ไม่ใช้สบู่อาบน้ำก้อนเดียวกัน เพราะเชื้อโรคหรือเชื้อจุลินทรีย์เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

        ณะนอนหลับ ไม่ควรมีเครื่องสำอางอยู่รอบดวงตาและผิวหน้า เพราะเคมีในเครื่องสำอางอาจเข้าตาเมื่อขยี้ตาได้และปัญหาตาอักเสบจะตามมาได้ง่าย

        ผลิตภัณฑ์ประเภทแอโรซอล ไม่ควรวางกระป๋องแอโรซอลใกล้ความร้อนหรือไฟ หรือใกล้คนที่ชอบสูบบุหรี่ เพราะองค์ประกอบในผลิตภัณฑ์ติดไฟง่าย สามารถระเบิดได้ ระหว่างการใช้งาน เช่น สเปรย์ผม ให้ระวังไม่สูดดมเข้าไป เพราะจะสะสมที่ปอด ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดได้

 จะป้องกันตนเองจากอันตรายของเครื่องสำอางอย่างไร?

           ไม่แต่งหน้าระหว่างขับรถ หรือโดยสารในรถ

           ไม่ใช้เครื่องสำอางร่วมกับผู้อื่น

           ปิดภาชนะให้แน่น เก็บให้พ้นจากแสงและความร้อน

           อย่าใช้เครื่องสำอาง หากมีปัญหาตาอักเสบ และทิ้งผลิตภัณฑ์ไปหากพบปัญหา เช่น เก่าเก็บ เนื้อครีมสลายตัว

           อย่าเติมของเหลวหรืออื่นๆ ลงในผลิตภัณฑ์ ยกเว้นมีคำแนะนำบนฉลาก

           โยนทิ้ง หากพบว่า สีเครื่องสำอางที่ใช้อยู่เริ่มเปลี่ยน หรือส่งกลิ่นผิดปรกติ

           อย่าใช้กระป๋องสเปรย์ใกล้ความร้อน หรือระหว่างสูบบุหรี่ เพราะอาจระเบิดได้

           อย่าสูดดมละอองสเปรย์ หรือผงแป้งเข้าปอด เพราะถ้าดมสเปรย์ทุกวัน อาจเกิดการสะสมจนเกิดอันตรายต่อปอดได้

           หลีกเลี่ยงการใช้สีถาวรบริเวณรอบดวงตา เพราะมักจะมีโลหะ เช่น ตะกั่ว เป็นองค์ประกอบ ก่อให้เกิดอันตรายต่อตาได้


 เวชเครื่องสำอาง คืออะไร?

        ผลิตภัณฑ์บางชนิดเป็นได้ทั้งยาและเครื่องสำอาง เช่น แชมพูสระผม จัดเป็นเครื่องสำอางเพื่อทำความสะอาดเส้นผม แต่หากมีองค์ประกอบของสารขจัดรังแคซึ่งมีคุณสมบัติต้านเชื้อราอันเป็นสาเหตุ ของรังแค แชมพูชนิดขจัดรังแคจะจัดเป็นยา และหาซื้อได้จากร้ายขายยาเท่านั้น ตัวอย่างอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติเป็นทั้งยาและเครื่องสำอาง เช่น ยาสีฟันผสมฟูออไรด์ ผลิตภัณฑ์ขจัดกลิ่นตัวชนิดที่มีฤทธิ์ระงับเหงื่อ และครีมบำรุงผิวที่มีสารกันแดดชนิดเคมี (chemical sunscreening agent) ผลิตภัณฑ์เวชสำอางต้องมีคุณสมบัติครบทั้งทางเครื่องสำอางและยาตามที่ อย.กำหนด

 เครื่องสำอางสามารถเก็บได้นานแค่ไหน?

        ผลิตภัณฑ์ประเภทรอบดวงตา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาสคาร่า อายเชโด้ ดินสอเขียวคิ้วและขอบตา ไม่สามารถใช้ได้นานๆ เท่ากับชนิดอื่นๆ เพราะโอกาสในการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ระหว่างการใช้งานมีสูงมาก อาจทำให้เกิดอักเสบของเยื่อบุลูกตาได้ ผู้เชี่ยวชาญทางเครื่องสำอางแนะนำให้เปลี่ยนผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทิ้งทุก 3 เดือนภายหลังจากการเปิดใช้งาน

        ผลิตภัณฑ์ประเภทสมุนไพรหรือชนิดที่มีองค์ประกอบจากธรรมชาติ มักจะเก็บได้ไม่นาน ผู้ใช้ควรหมั่นสังเกตการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ เช่น สี กลิ่น และความหนืดของเนื้อครีม เพราะทั้งสี กลิ่น และความหนืดที่เปลี่ยนไป แสดงถึงการสลายตัวของผลิตภัณฑ์ อาจมีสาเหตุจากการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ได้ เนื่องจากสารสกัดจากธรรมชาติมักจะไม่มีสารกันเสีย ถ้าพบการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นให้หยุดใช้ และทิ้งไปทันทีไม่ต้องเสียดาย นอกจากนั้นการเก็บผลิตภัณฑ์ต้องเก็บตามคำแนะนำบนฉลาก เช่น หลีกเลี่ยงจากความร้อน และแสงแดด หากเก็บไม่ได้ตามคำแนะนำ อายุของผลิตภัณฑ์จะสั้นกว่าวันหมดอายุที่กำหนดไว้บนฉลาก

 ระหว่างตั้งครรภ์โกรกสีผมได้หรือไม่?

        จากการศึกษาวิจัยในสัตว์ทดลองและในอาสาสมัคร พบว่า สีย้อมผมหรือสารเคมี จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายน้อยมากๆ ในระหว่างการโกรกสีผม และไม่มีผลกระทบต่อทารกในครรภ์ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่มีความรู้มากมายนักถึงผลกระทบต่อทารกในครรภ์ในระยะยาว หากไม่จำเป็น ควรหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเช่นนี้จะดีกว่า






























วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ใบงานที่ 4 คลังข้อสอบ



PAT5 ข้อสอบความถนัดวิชาชีพครู




GAT / PAT คืออะไร

ความถนัดทั่วไป (GAT : General Aptitude Test) 
คือ การวัดศักยภาพในการเรียนในมหาวิทยาลัยให้ประสบความสำ เร็จ แยกได้ 2 ส่วน คือ 
1. ความสามารถในการอ่าน เขียน คิดวิเคราะห์ และแก้โจทย์ปัญหา 50 %
2. ความสามารถในการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ 50 %


ความถนัดทางวิชาชีพและวิชาการ (PAT :Professional and Academic Aptitude Test)

คือ ความรู้ที่เป็นพื้นฐานที่จะเรียนต่อในวิชาชีพนั้น ๆ กับศักยภาพที่จะเรียนในวิชาชีพนั้น ๆให้ประสบความสำเร็จ มี 7 ประเภท คือ

1. PAT 1 ความถนัดทางคณิตศาสตร์

2. PAT 2 ความถนัดทางวิทยาศาสตร์

3. PAT 3 ความถนัดทางวิศวกรรมศาสตร์

4. PAT 4 ความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์

5. PAT 5 ความถนัดทางวิชาชีพครู

6. PAT 6 ความถนัดทางศิลปกรรมศาสตร์

7. PAT 7 ความถนัดทางภาษาต่างประเทศ

การสอบ GAT และ PAT

ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ได้กำหนดองค์ประกอบและค่าน้ำหนักในการคัดเลือกเข้าศึ กษาในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาด้วยระบบกลาง (Admissions) ปีการศึกษา 2553 ประกอบด้วย

1. GPAX 20%
2. O-NET 30%
3. GAT 10-50%
4. PAT 0-40%
รวม 100 %
                                           

  Read more at http://www.unigang.com/Article/1144#v6ZMlRd2rRoJpzqy.99



PAT 1 ได้แก่ ความถนัดทางคณิตศาสตร์ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
(1) ความรู้ในวิชาคณิตศาสตร์ พีชคณิต เรขาคณิต Calculus สถิติ ฯลฯ
(2) ความถนัดในการเรียนคณิตศาสตร์ในมหาวิทยาลัยให้ประสบค วามสำเร็จ เช่น การคิดแบบนักคณิตศาสตร์ การแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ 
การอ่านเรื่องทางคณิตศาสตร์แล้วเข้าใจแก้ปัญหาตามกระ บวนการคณิตศาสตร์ เป็นต้น


PAT 2 ได้แก่ ความถนัดทางวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
(1) ความรู้ในทางวิทยาศาสตร์ที่จะเรียนในคณะวิทยาศาสตร์ และคณะอื่นที่เกี่ยวข้องได้ เช่น ความรู้ในเรื่องเคมี ชีววิทยา ฟิสิกส์ earth science, ICT เป็นต้น
(2) ความถนัดในการเรียนวิทยาศาสตร์ในมหาวิทยาลัยประสบผลส ำเร็จเช่นการคิดแบบ นักวิทยาศาสตร์ การแก้ปัญหาด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ฯลฯ


PAT 3 ได้แก่ ความถนัดทางวิศวกรรมศาสตร์ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
(1) ความรู้พื้นฐานที่จะเรียนต่อในคณะวิศวกรรมศาสตร์สำเร ็จ เช่น ความรู้ทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เป็นต้น
(2) ความถนัดในการเรียนวิศวกรรมในมหาวิทยาลัยประสบความสำ เร็จ เช่น การคิดแบบวิศวกร การแก้ปัญหาทางวิศวกรรม เป็นต้น


PAT 4 ได้แก่ ความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
(1) ความรู้พื้นฐานที่จะเรียนต่อในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ส ำเร็จ เช่น ความรู้ทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ศิลปกรรม ฯลฯ
(2) ความถนัดในการเรียนในคณะสถาปัตย์ในมหาวิทยาลัยประสบค วามสำเร็จ เช่น มองเห็นภาพ 3 มิติในใจ การออกแบบ ฯลฯ


PAT 5 ได้แก่ ความถนัดทางครู ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
(1) ความรู้พื้นฐานที่จะเรียนต่อในคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์สำเร็จ เช่น ความรู้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคม ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ฯลฯ
(2) ความถนัดในการเรียนในคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์สำเร็จ หรือแววในการจะเป็นครู เช่น ความสามารถในการแสวงหาความรู้ ทักษะสื่อสารรู้เรื่อง ฯลฯ 


PAT 6 ได้แก่ ความถนัดทางศิลปะ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
(1) ความรู้ในทฤษฎีทัศนศิลป์ นาฏศิลป์ ดนตรี และความรู้อื่นที่เป็นพื้นฐานที่จะเรียนในคณะศิลปกรร ม หรือที่เกี่ยวข้องประสบความสำเร็จ
(2) ความถนัดในการเรียนศิลปะ เช่น ความคิดสร้างสรรค์ ฯลฯ


PAT 7 ได้แก่ ความถนัดในการเรียนภาษาต่างประเทศ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
(1) ความรู้เรื่องไวยากรณ์ หลักภาษา วรรณกรรม วรรณคดี ฯลฯ
(2) ความสามารถในการฟัง พูด อ่าน เขียน สรุป ย่อความ ขยายความ สังเคราะห์ วิเคราะห์ ฯลฯ
มี 6 ภาษา คือ ก) ภาษาฝรั่งเศส ข) ภาษาเยอรมัน ค) ภาษาญี่ปุ่น ง) ภาษาจีน จ) ภาษาบาลี ฉ) ภาษาอาหรับ


5. ใครคือผู้ออกข้อสอบ 
ตอบ อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในคณะที่เกี่ยวข้องของมหาวิทยาลั ย 

6. สอบกี่ครั้ง ๆ ละ กี่ชั่วโมง กี่คะแนน 
ตอบ - GAT สอบ 3 ครั้งต่อปี คะแนนเต็ม 300 คะแนน สอบ 3 ชั่วโมง
- PAT สอบ 3 ครั้งต่อปี คะแนนเต็ม 300 คะแนน สอบ 3 ชั่วโมง
Read more at http://www.unigang.com/Article/1144#v6ZMlRd2rRoJpzqy.99



PAT5 ความถนัดทางครู

PAT 5 

(1) ความรู้พื้นฐานที่จะเรียนต่อในคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์สำเร็จ เช่น ความรู้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคม ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ฯลฯ
(2) ความถนัดในการเรียนในคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์สำเร็จ หรือแววในการจะเป็นครู เช่น ความสามารถในการแสวงหาความรู้ ทักษะสื่อสารรู้เรื่อง ฯลฯ 
  














สัดส่วนข้อสอบpat5 by ครูพี่หมุย






แนวข้อสอบpat5


ข้อมูลเตรียมสอบ 
ความถนัดทางวิชาชีพครู (PAT5)
1. ความรู้ด้านการปกครอง
2. สังคมวิทยาเบื้องต้น
3. กฎหมายไทยและกฎหมายระหว่างประเทศ
4. วัฒนธรรมประเพณีไทยและวัฒนธรรมสากล
5. เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
6. เศรษฐกิจพอเพียง
7. ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
8. การพัฒนาที่ยั่งยืน
9. ประชากรศึกษา
10. บริบททางการศึกษา







                                              เทคนิคพิชิตpat5วิชาชีพครู










ตัวอย่างข้อสอบPAT5ความถนัดวิชาชีพครู



1 .      http://www.vcharkarn.com/exam/set/1973
2 .      http://www.vcharkarn.com/exam/category/107
3.  http://tingnoi.igetweb.com/articles/611995/%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%89%E0%B8%A5%E0%B8%A2.html
4 .      http://www.unigang.com/Article/1282
5 .      https://blog.eduzones.com/jipatar/153119










ติวข้อสอบPAT5



01




02




03


04


05





ยังมีอีกหลายๆคลิปที่เราสามารถติวPAT5 เองได้ที่บ้าน



















ที่มา
https://www.google.co.th/search?q=pat+5+%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%96%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9&biw=1440&bih=755&tbm=isch&source=lnms&sa=X&ved=0ahUKEwimyfDCzfLOAhWJL48KHYa4APEQ_AUIBigB#imgrc=_

http://www.vcharkarn.com/exam/set/1973

http://www.unigang.com/Article/1144

http://www.dek-d.com/admission/36656/

http://www.trueplookpanya.com/education/learning/detail/27042-039466

http://l.facebook.com/l.php?u=http%3A%2F%2Fwww.vcharkarn.com%2Fexam%2Fset%2F1973&h=GAQEuCAkN&s=1